Written by: #SuperTraderRepublic x #Liberator


What : คืออะไร


การจัดการ, กลยุทธ์ หรือกระบวนการติดตามและวางแผนการใช้เงิน ครอบคลุมตั้งแต่ระดับบุคคล องค์กร ตลอดจนตลาดการเงิน ซึ่งจะขอเน้นเรื่องตลาดการเงินค่ะ


Who : เหมาะกับใครบ้าง




  1. บุคคล : จัดการด้านการออม การใช้จ่าย และการลงทุน

  2. องค์กร : ครอบคลุมถึงการระดมทุน, ใช้งบประมาณขององค์กร กระทบต่อกลยุทธ์ธุรกิจ

  3. ตลาดการเงิน : การบริหารจัดการเงินลงทุนอย่างมีหลักการและเป็นระบบ รวมถึงบริหารการควบคุมความเสี่ยงและผลตอบแทน


Why : ทำไมจึงสำคัญ


เซียนหุ้นหลายๆ ท่านมักจะบอกว่า "ถึงแม้ว่าเราจะเทรดหุ้นเก่งกาจขนาดไหน แต่ถ้าเราไม่มี MM ที่ดี พอร์ตเราก็สามารถพังได้" หากต้องการประสบความสำเร็จในการเทรดระยะยาว การ MM จะช่วยป้องกันไม่ให้พอร์ตการลงทุนเราเสียหายหนัก, ควบคุมความเสี่ยงการลงทุนของเรา เพื่อให้กำไรของเราสามารถต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ


How : ทำอย่างไรบ้าง




  1. จัดสรรเงินลงทุน


เราควรจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะกับขนาดพอร์ตการลงทุนของเรา  เนื่องจากเงินลงทุนเรานั้นค่อนข้างที่จะจำกัด




  1. วางแผนการลงทุนทุกครั้ง


การวางแผนการลงทุนทุกครั้งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นทุกการลงทุน ถ้าหากเราซื้อขายและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ รับรู้ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวังตั้งแต่แรกจะทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น


หากเราไม่มีแผน ไม่มีหลักการ ไม่รู้ว่าควรจะซื้อด้วยเงินเท่าไหร่ดี จะกลายว่า เราซื้อตามอารมณ์ของเรา ว่าซื้อตัวนี้เท่านี้นะ ส่วนตัวนี้ซื้อเท่านี้ละกัน ซึ่งตรงจุดนี้เองที่มันสามารถทำให้พอร์ตของเราเสียหายได้

แล้วเราจะซื้อยังไงบ้าง ขอแนะนำคือเมื่อเราดูทรงกราฟ ทำการตีเส้นแนวรับ แนวต้านให้เรียบร้อย แล้ววางแผนเทรดตามแนวเหล่านั้น

การวางแผนการลงทุน ได้แก่ จุดซื้อ ,จุด Stoploss และจุดขาย ซึ่งมีหลากหลายวิธี ไม่ตายตัว ขอแนะนำให้เลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง ทำซ้ำอยู่ช่วงหนึ่งก่อน หากไม่ได้ผลจึงปรับเปลี่ยนวิธีค่ะ

1.จุดซื้อ -- เลือกได้หลากหลาย เช่น ซื้อไม้เดียว 100% หรือแบ่งซื้อ 2 ไม้ 20/80, 30/70  หรือแบ่งซื้อ 3 ไม้
20/30/50, 20/20/60 เป็นต้น

      2.จุด Stoploss -- ด้วย Chart, ด้วย % Change, ด้วย Time, ด้วยการนับช่อง, ด้วยการยก Trailing Stop
เป็นต้น


3.จุดขาย -- ขายไม้เดียว, แบ่งขายตามแนวต้าน, แบ่งขายตามแนวFibonacci เป็นต้น

  1. การประเมินความเสี่ยง


“จำกัด” ความเสี่ยงหรือความเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด หรือเกิดความเสียหายที่เราสามารถยอมรับได้


เพื่อดูว่าผลตอบแทนหรือผลขาดทุนเท่าไหร่ที่จะเรียกว่าคุ้มค่าหรือไม่ โดยนำกำไรหรือผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ (Reward) และความเสี่ยงที่จะขาดทุน (Risk) ของการลงทุนครั้งนั้นมาเทียบกัน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Reward to Risk Ratio : RRR แนะนำอัตราส่วนที่มากกว่า 3:1


มีวิธีการคำนวณ ดังนี้ RRR = REWARD / RISK


การลงทุนมีความเสี่ยง แต่อย่ากลัวความเสี่ยงจนเกินไป หากเราเข้าใจและสามารถนำเทคนิคการบริหารจัดการความเสี่ยงมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยลดโอกาสขาดทุน แถมยังช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และทำให้เราสามารถลงทุนอย่างมีความสุขได้ด้วย


- โค้ชหมวย คามินภร หลินชินธิป -