Money Management วางกลยุทธ์บริหารเงินอย่างมีคุณภาพ
Written by: #SuperTraderRepublic x #Liberator
What : คืออะไร
การจัดการ, กลยุทธ์ หรือกระบวนการติดตามและวางแผนการใช้เงิน ครอบคลุมตั้งแต่ระดับบุคคล องค์กร ตลอดจนตลาดการเงิน ซึ่งจะขอเน้นเรื่องตลาดการเงินค่ะ
Who : เหมาะกับใครบ้าง
- บุคคล : จัดการด้านการออม การใช้จ่าย และการลงทุน
- องค์กร : ครอบคลุมถึงการระดมทุน, ใช้งบประมาณขององค์กร กระทบต่อกลยุทธ์ธุรกิจ
- ตลาดการเงิน : การบริหารจัดการเงินลงทุนอย่างมีหลักการและเป็นระบบ รวมถึงบริหารการควบคุมความเสี่ยงและผลตอบแทน
Why : ทำไมจึงสำคัญ
เซียนหุ้นหลายๆ ท่านมักจะบอกว่า "ถึงแม้ว่าเราจะเทรดหุ้นเก่งกาจขนาดไหน แต่ถ้าเราไม่มี MM ที่ดี พอร์ตเราก็สามารถพังได้" หากต้องการประสบความสำเร็จในการเทรดระยะยาว การ MM จะช่วยป้องกันไม่ให้พอร์ตการลงทุนเราเสียหายหนัก, ควบคุมความเสี่ยงการลงทุนของเรา เพื่อให้กำไรของเราสามารถต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ
How : ทำอย่างไรบ้าง
- จัดสรรเงินลงทุน
เราควรจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะกับขนาดพอร์ตการลงทุนของเรา เนื่องจากเงินลงทุนเรานั้นค่อนข้างที่จะจำกัด
- วางแผนการลงทุนทุกครั้ง
การวางแผนการลงทุนทุกครั้งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นทุกการลงทุน ถ้าหากเราซื้อขายและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ รับรู้ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวังตั้งแต่แรกจะทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น
หากเราไม่มีแผน ไม่มีหลักการ ไม่รู้ว่าควรจะซื้อด้วยเงินเท่าไหร่ดี จะกลายว่า เราซื้อตามอารมณ์ของเรา ว่าซื้อตัวนี้เท่านี้นะ ส่วนตัวนี้ซื้อเท่านี้ละกัน ซึ่งตรงจุดนี้เองที่มันสามารถทำให้พอร์ตของเราเสียหายได้
แล้วเราจะซื้อยังไงบ้าง ขอแนะนำคือเมื่อเราดูทรงกราฟ ทำการตีเส้นแนวรับ แนวต้านให้เรียบร้อย แล้ววางแผนเทรดตามแนวเหล่านั้น
การวางแผนการลงทุน ได้แก่ จุดซื้อ ,จุด Stoploss และจุดขาย ซึ่งมีหลากหลายวิธี ไม่ตายตัว ขอแนะนำให้เลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง ทำซ้ำอยู่ช่วงหนึ่งก่อน หากไม่ได้ผลจึงปรับเปลี่ยนวิธีค่ะ
1.จุดซื้อ -- เลือกได้หลากหลาย เช่น ซื้อไม้เดียว 100% หรือแบ่งซื้อ 2 ไม้ 20/80, 30/70 หรือแบ่งซื้อ 3 ไม้
20/30/50, 20/20/60 เป็นต้น
2.จุด Stoploss -- ด้วย Chart, ด้วย % Change, ด้วย Time, ด้วยการนับช่อง, ด้วยการยก Trailing Stop
เป็นต้น
3.จุดขาย -- ขายไม้เดียว, แบ่งขายตามแนวต้าน, แบ่งขายตามแนวFibonacci เป็นต้น
- การประเมินความเสี่ยง
“จำกัด” ความเสี่ยงหรือความเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด หรือเกิดความเสียหายที่เราสามารถยอมรับได้
เพื่อดูว่าผลตอบแทนหรือผลขาดทุนเท่าไหร่ที่จะเรียกว่าคุ้มค่าหรือไม่ โดยนำกำไรหรือผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ (Reward) และความเสี่ยงที่จะขาดทุน (Risk) ของการลงทุนครั้งนั้นมาเทียบกัน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Reward to Risk Ratio : RRR แนะนำอัตราส่วนที่มากกว่า 3:1
มีวิธีการคำนวณ ดังนี้ RRR = REWARD / RISK
การลงทุนมีความเสี่ยง แต่อย่ากลัวความเสี่ยงจนเกินไป หากเราเข้าใจและสามารถนำเทคนิคการบริหารจัดการความเสี่ยงมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยลดโอกาสขาดทุน แถมยังช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และทำให้เราสามารถลงทุนอย่างมีความสุขได้ด้วย
- โค้ชหมวย คามินภร หลินชินธิป -