กองทุนรวม: ทางเลือกลงทุนเพื่อคนไม่มีเวลา
ทลายกำแพงการลงทุน ลงทุนได้ง่าย แค่เข้าใจธีมรอบตัวก็ลงทุนได้ ด้วยผู้ช่วยการลงทุนที่เรียกว่า กองทุนรวม ผู้จัดการมืออาชีพที่จะช่วยจัดสรรดูแลเงินลงทุนของเราให้ไปลงทุนในสินทรัพย์ตามธีมที่เราเลือก
กองทุนรวม (Mutual Funds) คืออะไร
กองทุนรวม (Mutual Funds) คือ ทางเลือกการลงทุนทางหนึ่งที่ง่าย ใช้เวลาน้อย เริ่มต้นได้ด้วยเงินไม่มาก
ให้ลองนึกภาพว่าเรากำลังรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ แล้วสนใจอยากจะซื้อของสะสมชิ้นหนึ่ง แต่เพราะของประเภทนี้ราคาสูงมาก หาซื้อเองได้ยาก เลยต้อง รวบรวมเงินเพื่อนในกลุ่มและนำไปฝากให้คนที่หาซื้อเป็น เป็นคนซื้อ จัดตารางแบ่งเวลาให้ใช้
กองทุนรวมมีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็นการรวบรวมเงินนักลงทุนหลายๆ รายเพื่อนำไปลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ตามนโยบายของกองทุนรวม
กองทุนรวมช่วยทำให้เราลงทุนได้ง่ายขึ้น เพราะเราไม่ต้องรู้จักบริษัททุกบริษัท ไม่ต้องรู้จักรายละเอียดและศึกษามาก แค่เราสังเกตสิ่งรอบตัวๆ ว่ากระแสอะไรกำลังมา เช่น กระแส AI หรือประเทศไหนกำลังมีแต่ข่าวดีๆ เช่น ประเทศจีน ประเทศอินเดีย ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น เราก็เริ่มลงทุนและรับผลประโยชน์ตามธีมนั้นๆ ได้
ประโยชน์ของกองทุนรวม (Mutual Funds) มีอะไรบ้าง
- แค่รู้จักธีม รู้จักประเทศก็เริ่มต้นลงทุนได้ เริ่มได้ง่าย
- มีผู้จัดการกองทุนช่วยดูแลคัดเลือกและบริหารความเสี่ยงให้
- กองทุนรวมบางประเภทมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ เช่น กองทุน SSF RMF ที่ช่วยลดหย่อนเงินได้พึงประเมินได้ รวมสูงสุดทุกหมวดกองทุนรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
- ไม่ต้องใช้เงินต้นมาก แทนที่จะต้องรวบรวมเงินซื้อหุ้นทุกตัวที่ต้องการ เราจ่ายเงินให้กองทุนแบ่งสัดส่วนให้อัตโนมัติ
เลือกกองทุนรวมอย่างไรถึงจะได้ประโยชน์
ก่อนที่จะเริ่มเลือกซื้อกองทุน มีเรื่องที่เราต้องคุยกับตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่าเราเริ่มต้นตัดสินใจลงทุนกองทุนรวมเพราะอะไร และรับความเสี่ยงได้ระดับไหน โดยหลักๆ มี 2 เป้าหมาย
1. ต้องการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ถ้าเป้าหมายเราคือแบบนี้เราควรเลือกกองทุนที่มีนโยบายสนับสนุนการลงทุนระยะยาว อาจจะเน้นเป็นกองทุนที่เน้นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง มีเงินปันผล หรือแม้แต่กองทุนที่ดูย้อนหลังแล้วระยะยาวเติบโตขึ้น
ข้อควรระวังของวิธีนี้ คือ เราต้องเลือกสินทรัพย์ที่เราประเมินแล้วว่าเติบโตได้ในระยะยาว และเราต้องมีวินัย หักเงินไปลงทุนอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ เดือน ในตอนที่ตลาดดี เราจะซื้อกองทุนได้ไม่มาก แต่ในสภาวะที่ตลาดย่ำแย่ เราจะซื้อได้มากกว่า
ถ้าระยะยาวเราซื้อถูกกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อสินทรัพย์ราคากลับมาอยู่ค่าเฉลี่ยจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้
2. ต้องการลงทุนระยะสั้น เล่นไปตามธีม เช่น ธีม AI, ธีมพลังงานสีเขียว, ธีมนวัตกรรมการแพทย์ หรือเล่นไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น มองว่าเศรษฐกิจของอเมริกาจะเติบโตโดดเด่น ก็เลือกกองทุนหุ้นอเมริกา
ข้อควรระวังของวิธีนี้ คือ เราควรกะจังหวะการลงทุนให้เหมาะสมและประเมินความถูกแพงก่อนลงทุน เพราะถ้าเราเข้าไปผิดรอบ อาจจะทำให้เกิดความเสียหายหนัก และเกิดความท้อแท้ ไม่อยากลงทุนต่อได้
ศัพท์ต้องรู้ก่อนลงทุนกองทุนรวม: NAV (Net Asset Value) หรือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ แปลเป็นภาษาไทย คือ เงินที่กองทุนรวบรวมเอาไปลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ตอนนี้รวมกันทั้งพอร์ตแล้วมีมูลค่าตลาดอยู่เท่าไหร่ เพราะหุ้นบางตัวอาจจะขึ้น หุ้นบางตัวอาจจะลง ดังนั้น ต้องคำนวณรวมกันก่อน
กองทุนบางประเภท เช่น กองทุนประเภทสะสมมูลค่า (A) เมื่อได้รับเงินปันผลมาจะเข้ามาอยู่ใน NAV ทำให้มีโอกาสได้กำไรตอนขายมากกว่ากองทุนประเภทที่จ่ายปันผล (D)
ไม่ว่าเป้าหมายการลงทุนจะเป็นอย่างไร เรื่องที่นักลงทุนควรทำก่อน คือ การวางแผนกระจายสินทรัพย์ (Asset Allocation) โดยไม่ควรใส่เงินทั้งหมดไปที่กองทุนหมวดเดียว ควรมาประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ (Risk Tolerance) และความเต็มใจที่จะรับความเสี่ยง (Willingness to take risk) ก่อน
1. ความเสี่ยงที่รับได้ จะประเมินจากช่วงอายุ ความจำเป็นในการใช้เงิน รายได้ที่ได้ ยิ่งมีความมั่นคงยิ่งเสี่ยงได้มากขึ้น เช่น มีธุรกิจที่บ้าน มีรายได้ประจำเดือนละหลายแสนบาท แบบนี้จะรับความเสี่ยงได้มาก
2. แต่บางท่านอาจมี ความเต็มใจรับความเสี่ยงต่ำ คือ พอเห็นผลตอบแทนติดลบ 5-10% จะเริ่มร้อนรนใจ โทรปรึกษาคน มีความรู้สึกว่าเสียเงินไม่ได้ แบบนี้อาจจะเหมาะกับกองทุนความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้มากกว่า
การซื้อกองทุนรวมให้ได้ประโยชน์สูงสุดจริงๆ จะต้องประเมินความเสี่ยงและลองจัดพอร์ต เช่น หุ้น 60% ตราสารหนี้ 30% ตลาดเงิน 10% เพื่อให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวไม่ผันผวนเกินกว่าที่เรารับความเสี่ยงได้ครับ
ตัวอย่างกองทุนรวมที่มีให้ซื้อขายบน Liberator
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้นไทย กองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นปันผล หรือแม้กระทั่งกองทุนหุ้นต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น อินเดีย อเมริกา สามารถเข้ามาเลือกได้ที่หน้า Mutual Fund บนแอป Liberator