บทความ LIB Learn เดิม
สีจิ้นผิงได้อะไรจากการเยือนสหรัฐฯ
Written by : #DrArmTungnirun x #Liberator
ไม่มีใครคาดหวังว่า การพบกันระหว่างไบเดนและสีจิ้นผิงที่ซานฟรานซิสโกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเปลี่ยนแปลงพื้นฐานความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้ ทุกคนหวังแค่ว่าการพบกันจะช่วยรักษาระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศไม่ให้ย่ำแย่ไปมากกว่านี้ ก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว
ตอนนี้จีนขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 หายใจรดต้นคอสหรัฐฯ ย่อมทำให้สหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นคู่แข่ง ไบเดนจึงนิยามความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติว่าเป็นคู่แข่ง แต่ไม่ใช่คู่แค้น คือจะต้องช่วยกันทำให้การแข่งขันระหว่างสองชาติไม่เลยเถิดไปเป็นสงคราม
ตอนนี้นับเป็นจังหวะที่ดีและเหมาะสมของทั้งสองฝ่ายที่จะรักษาระดับความสัมพันธ์ให้เสถียร เพราะฝั่งสหรัฐฯ เองก็กำลังเผชิญศึกรอบด้าน ทั้งช่วยเหลือยูเครนสู้กับรัสเซีย และช่วยเหลืออิสราเอลสู้กับฮามาส จึงไม่ใช่จังหวะที่จะเดินหน้าชนกับจีนอย่างเต็มที่ในเวลานี้
ส่วนจีนเอง ตอนนี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี เพราะเพิ่งออกจากวิกฤตโควิดและปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นหนังม้วนยาวที่ยังไม่คลี่คลาย การลงทุนของต่างชาติในจีนถดถอยลงมากเพราะความขัดแย้งกับสหรัฐฯ หากสามารถแสดงภาพที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ ได้ ก็จะช่วยประคองสถานการณ์และความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในประเทศ
ศ.จางไท่ซูแห่งมหาวิทยาลัยเยลล์ มองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะซัดกันเต็มที่ ในเวลาที่แต่ละฝ่ายมองว่าเวลาไม่ได้อยู่ข้างตัวเอง ตอนที่ทรัมป์ทำสงครามการค้ากับจีนในปี ค.ศ. 2017 เป็นเพราะสหรัฐฯ รู้สึกว่าตอนนั้นจีนเริ่มดูโดดเด่นและสดใสกว่า จนกลัวว่าอนาคตอยู่ข้างจีน จึงจำเป็นต้องทุบจีนไม่ให้โตเร็วเกินไป
แต่ตอนนี้เศรษฐกิจจีนไม่ดี ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่ง สหรัฐฯ ย่อมมีความมั่นใจและผยองมากขึ้น และรู้สึกว่าตนอำนาจต่อรองสูง เวลายังอยู่ข้างตน ก็จะเป็นจังหวะที่สหรัฐฯ จะพร้อมแสวงความร่วมมือกับจีนมากยิ่งขึ้น
อาจมีคนถามว่า แล้วถ้าจีนเริ่มรู้สึกว่า เวลาไม่อยู่ข้างจีนแล้ว และสหรัฐฯ เหนือกว่าอย่างชัดเจน จีนจะดับเครื่องพุ่งชน ดังที่มีนักวิเคราะห์บางคนมองว่าความเสี่ยงสงครามกำลังจะสูงขึ้น หากเศรษฐกิจจีนย้ำแย่ไปมากกว่านี้ เพราะจีนอาจต้องการเบี่ยงเบนความสนใจออกจากเศรษฐกิจภายในประเทศ และปลุกกระแสชาตินิยมด้วยการทำสงครามภายนอก
แต่ ศ.จางไท่ซู มองว่า ในกลุ่มผู้นำจีนและชนชั้นนำจีน ยังมีความมั่นใจในศักยภาพของเศรษฐกิจจีนในระยะยาวและยังเชื่อมั่นว่าในเรื่องเสถียรภาพทางสังคม จีนยังมีเสถียรภาพและความแตกแยกทางการเมืองภายในน้อยกว่าในสหรัฐฯ ปัญหาของจีนตอนนี้เป็นเพียงปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้นจากการที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากโควิดและจากการกวาดบ้านสะสางปัญหาในภาคอสังหาฯ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตลาดขนาดใหญ่อย่างจีนก็ต้องกลับมาเฉิดฉายอยู่ดี
หากจีนคิดอย่างนี้จริง และเศรษฐกิจในช่วงสิ้นปีและต้นปีไม่ได้ดิ่งเหวเลวร้ายลงเรื่อยๆ แต่เริ่มพลิกกลับมาทรงตัวและฟื้นตัว จีนคงพยายามรักษาเสถียรภาพทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเร่งการฟื้นเศรษฐกิจและไม่ให้เกิดปัจจัยความผันผวนหรือไม่แน่นอนที่จะซ้ำเติมเศรษฐกิจ สำหรับจีนแล้ว การพยายามรักษาระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในเวลานี้ย่อมเป็นสิ่งจำเป็น
การพบกันระหว่างสีจิ้นผิงและไบเดน ไฮไลท์ที่เป็นรูปธรรมคือการที่จีนรับปากจะช่วยปราบปรามสารเสพติดตั้งต้นที่เป็นต้นตอของปัญหายาเสพติดในสหรัฐฯ และจะรื้อฟื้นช่องทางการติดต่อสื่อสารกันระหว่างกองทัพของทั้งสองฝ่าย
ทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้ดูพิเศษหรือยิ่งใหญ่แต่อย่างใด เรื่องยาเสพติดนั้นสหรัฐฯ ได้เรียกร้องจากจีนมานานแล้ว ส่วนเรื่องการสื่อสารระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายก็เป็นเรื่องที่เคยมีและควรมี เพียงแต่ตัดขาดจากกันตอนที่เกิดเหตุการณ์บอลลูนสอดแนมของจีนหลงเข้าไปในสหรัฐฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
เราอย่าตื่นเต้นมากเกินไปต่อสัญญาณเชิงบวก รอยยิ้ม และมิตรภาพระหว่างสองผู้นำที่ซานฟรานซิสโก แน่นอนครับว่าเป็นสัญญาบวก ความสัมพันธ์เสถียรขึ้นและดีขึ้น แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติตอนนี้เปราะบางเหลือเกิน เรียกว่ามีปัญหานิดเดียวก็อาจปะทุลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่พาให้ความสัมพันธ์ลงหุบเหวอีกรอบเอาได้ง่ายๆ
จำได้ไหมครับว่าเราเคยตื่นเต้นและดีใจตอนที่สีจิ้นผิงพบกับไบเดนที่บาหลีเมื่อหนึ่งปีที่แล้วพอดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์บอลลูนสอดแนมของจีนหลงเข้าไปในสหรัฐฯ ตามมาด้วยช่วงเวลาหลายเดือนของความเหน็บหนาวที่ทั้งสองฝ่ายตัดช่องทางการสื่อสารระหว่างกันโดยสิ้นเชิง ก่อนที่จะมาค่อยๆ รื้อฟื้นความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างผู้นำระดับสูงตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นมา จนผู้นำสูงสุดของทั้งสองฝ่ายได้มาพบกันเดือนนี้
จังหวะการพบกันครั้งนี้ หลายฝ่ายหวังว่าถึงจะไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์ของสองชาติได้ทันที แต่ขอให้หลุดอย่าให้เลวร้ายลงกว่านี้ จะได้ค่อยๆ ปรับให้ดีขึ้นต่อไป แต่เมื่อมองไปข้างหน้า ก็มีแต่กับระเบิดรออยู่
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งไต้หวันในเดือนมกราคม ซึ่งหากพรรครัฐบาลปัจจุบันชนะ ย่อมจะแข็งกร้าวกับจีนยิ่งกว่าตอนนี้ รวมทั้งปีหน้าก็เป็นปีของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ ก็ต้องแข่งกันว่าใครจะกร้าวกับจีนได้ยิ่งกว่ากัน
ไม่มีใครคาดหวังว่า การพบกันระหว่างไบเดนและสีจิ้นผิงที่ซานฟรานซิสโกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเปลี่ยนแปลงพื้นฐานความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้ ทุกคนหวังแค่ว่าการพบกันจะช่วยรักษาระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศไม่ให้ย่ำแย่ไปมากกว่านี้ ก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว
ตอนนี้จีนขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 หายใจรดต้นคอสหรัฐฯ ย่อมทำให้สหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นคู่แข่ง ไบเดนจึงนิยามความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติว่าเป็นคู่แข่ง แต่ไม่ใช่คู่แค้น คือจะต้องช่วยกันทำให้การแข่งขันระหว่างสองชาติไม่เลยเถิดไปเป็นสงคราม
ตอนนี้นับเป็นจังหวะที่ดีและเหมาะสมของทั้งสองฝ่ายที่จะรักษาระดับความสัมพันธ์ให้เสถียร เพราะฝั่งสหรัฐฯ เองก็กำลังเผชิญศึกรอบด้าน ทั้งช่วยเหลือยูเครนสู้กับรัสเซีย และช่วยเหลืออิสราเอลสู้กับฮามาส จึงไม่ใช่จังหวะที่จะเดินหน้าชนกับจีนอย่างเต็มที่ในเวลานี้
ส่วนจีนเอง ตอนนี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี เพราะเพิ่งออกจากวิกฤตโควิดและปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นหนังม้วนยาวที่ยังไม่คลี่คลาย การลงทุนของต่างชาติในจีนถดถอยลงมากเพราะความขัดแย้งกับสหรัฐฯ หากสามารถแสดงภาพที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ ได้ ก็จะช่วยประคองสถานการณ์และความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในประเทศ
ศ.จางไท่ซูแห่งมหาวิทยาลัยเยลล์ มองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะซัดกันเต็มที่ ในเวลาที่แต่ละฝ่ายมองว่าเวลาไม่ได้อยู่ข้างตัวเอง ตอนที่ทรัมป์ทำสงครามการค้ากับจีนในปี ค.ศ. 2017 เป็นเพราะสหรัฐฯ รู้สึกว่าตอนนั้นจีนเริ่มดูโดดเด่นและสดใสกว่า จนกลัวว่าอนาคตอยู่ข้างจีน จึงจำเป็นต้องทุบจีนไม่ให้โตเร็วเกินไป
แต่ตอนนี้เศรษฐกิจจีนไม่ดี ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่ง สหรัฐฯ ย่อมมีความมั่นใจและผยองมากขึ้น และรู้สึกว่าตนอำนาจต่อรองสูง เวลายังอยู่ข้างตน ก็จะเป็นจังหวะที่สหรัฐฯ จะพร้อมแสวงความร่วมมือกับจีนมากยิ่งขึ้น
อาจมีคนถามว่า แล้วถ้าจีนเริ่มรู้สึกว่า เวลาไม่อยู่ข้างจีนแล้ว และสหรัฐฯ เหนือกว่าอย่างชัดเจน จีนจะดับเครื่องพุ่งชน ดังที่มีนักวิเคราะห์บางคนมองว่าความเสี่ยงสงครามกำลังจะสูงขึ้น หากเศรษฐกิจจีนย้ำแย่ไปมากกว่านี้ เพราะจีนอาจต้องการเบี่ยงเบนความสนใจออกจากเศรษฐกิจภายในประเทศ และปลุกกระแสชาตินิยมด้วยการทำสงครามภายนอก
แต่ ศ.จางไท่ซู มองว่า ในกลุ่มผู้นำจีนและชนชั้นนำจีน ยังมีความมั่นใจในศักยภาพของเศรษฐกิจจีนในระยะยาวและยังเชื่อมั่นว่าในเรื่องเสถียรภาพทางสังคม จีนยังมีเสถียรภาพและความแตกแยกทางการเมืองภายในน้อยกว่าในสหรัฐฯ ปัญหาของจีนตอนนี้เป็นเพียงปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้นจากการที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากโควิดและจากการกวาดบ้านสะสางปัญหาในภาคอสังหาฯ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตลาดขนาดใหญ่อย่างจีนก็ต้องกลับมาเฉิดฉายอยู่ดี
หากจีนคิดอย่างนี้จริง และเศรษฐกิจในช่วงสิ้นปีและต้นปีไม่ได้ดิ่งเหวเลวร้ายลงเรื่อยๆ แต่เริ่มพลิกกลับมาทรงตัวและฟื้นตัว จีนคงพยายามรักษาเสถียรภาพทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเร่งการฟื้นเศรษฐกิจและไม่ให้เกิดปัจจัยความผันผวนหรือไม่แน่นอนที่จะซ้ำเติมเศรษฐกิจ สำหรับจีนแล้ว การพยายามรักษาระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในเวลานี้ย่อมเป็นสิ่งจำเป็น
การพบกันระหว่างสีจิ้นผิงและไบเดน ไฮไลท์ที่เป็นรูปธรรมคือการที่จีนรับปากจะช่วยปราบปรามสารเสพติดตั้งต้นที่เป็นต้นตอของปัญหายาเสพติดในสหรัฐฯ และจะรื้อฟื้นช่องทางการติดต่อสื่อสารกันระหว่างกองทัพของทั้งสองฝ่าย
ทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้ดูพิเศษหรือยิ่งใหญ่แต่อย่างใด เรื่องยาเสพติดนั้นสหรัฐฯ ได้เรียกร้องจากจีนมานานแล้ว ส่วนเรื่องการสื่อสารระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายก็เป็นเรื่องที่เคยมีและควรมี เพียงแต่ตัดขาดจากกันตอนที่เกิดเหตุการณ์บอลลูนสอดแนมของจีนหลงเข้าไปในสหรัฐฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
เราอย่าตื่นเต้นมากเกินไปต่อสัญญาณเชิงบวก รอยยิ้ม และมิตรภาพระหว่างสองผู้นำที่ซานฟรานซิสโก แน่นอนครับว่าเป็นสัญญาบวก ความสัมพันธ์เสถียรขึ้นและดีขึ้น แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติตอนนี้เปราะบางเหลือเกิน เรียกว่ามีปัญหานิดเดียวก็อาจปะทุลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่พาให้ความสัมพันธ์ลงหุบเหวอีกรอบเอาได้ง่ายๆ
จำได้ไหมครับว่าเราเคยตื่นเต้นและดีใจตอนที่สีจิ้นผิงพบกับไบเดนที่บาหลีเมื่อหนึ่งปีที่แล้วพอดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์บอลลูนสอดแนมของจีนหลงเข้าไปในสหรัฐฯ ตามมาด้วยช่วงเวลาหลายเดือนของความเหน็บหนาวที่ทั้งสองฝ่ายตัดช่องทางการสื่อสารระหว่างกันโดยสิ้นเชิง ก่อนที่จะมาค่อยๆ รื้อฟื้นความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างผู้นำระดับสูงตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นมา จนผู้นำสูงสุดของทั้งสองฝ่ายได้มาพบกันเดือนนี้
จังหวะการพบกันครั้งนี้ หลายฝ่ายหวังว่าถึงจะไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์ของสองชาติได้ทันที แต่ขอให้หลุดอย่าให้เลวร้ายลงกว่านี้ จะได้ค่อยๆ ปรับให้ดีขึ้นต่อไป แต่เมื่อมองไปข้างหน้า ก็มีแต่กับระเบิดรออยู่
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งไต้หวันในเดือนมกราคม ซึ่งหากพรรครัฐบาลปัจจุบันชนะ ย่อมจะแข็งกร้าวกับจีนยิ่งกว่าตอนนี้ รวมทั้งปีหน้าก็เป็นปีของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ ก็ต้องแข่งกันว่าใครจะกร้าวกับจีนได้ยิ่งกว่ากัน